สวดมนต์เพื่ออะไร ทำไมต้องสวดมนต์


การสวดมนต์ คือ ข้อวัตรอันเป็นหลักใจของชาวพุทธ เป็นบุญกิจ บุญกิริยาที่ถือปฏิบัติสืบๆ กันมา นับตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ถือกันว่าเป็นเรื่อง สำคัญของชีวิต โดยเฉพาะในส่วนของพระภิกษุสงฆ์สามเณร นักบวช นักบุญทั้งหลาย จะให้ขาดตกบกพร่องในข้อวัตร กิจวัตรส่วนนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากละเลย เพิกเฉย ก็ถือกันว่าเสื่อม ก่อให้เกิดเป็นบาปเป็นกรรม เป็นความไม่บริสุทธิ์ให้แก่ตนเองและสถานที่อยู่อาศัย วัดวาอาราม ตลอดถึงโยมญาติมิตรที่ถวายความอุปถัมภ์ปัจจัยสี่ อีกทั้งภูมิธรรม ภูมิปัญญา คุณงามความดีบารมีในส่วนอื่นก็เกิดขึ้นได้ยาก

บทสวดแต่ละบทท่านเรียกว่า พระปริตร แปลว่า เครื่องคุ้มครองอันประเสริฐ ในบทสวดมนต์แต่ละบทนั้นประกอบไปด้วย บทพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีเป็นบทสรรเสริญคุณแห่งพระรัตนตรัยก็มี และเป็นบทอวยชัยให้พรก็มี บางบทได้นำมาจากพระไตรปิฎก บางบทเป็นบทที่ท่านได้แต่งขึ้นใหม่ในภายหลัง ในแต่ละบท แต่ละบาท แต่ละคาถานั้น ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากพระโอษฐ์ อันประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเกิดจากสติปัญญา อันบริสุทธิ์ยิ่งของเหล่าพระอรหันตสาวก ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น

ในแต่ละคน แต่ละสำนักนั้น มีการถือสวดไม่เหมือนกันบางสำนักสวดเฉพาะภาษาบาลีก็มี สวดแบบบาลีแปลก็มี สวดเฉพาะภาษาของตนที่แปลจากภาษาบาลีก็มี ไม่มีกฎข้อบังคับ
ต่างถือปฏิบัติตามความนิยม และความศรัทธาเชื่อถือ ตาม ความรู้ ความเข้าใจ ตามมติของแต่ละบุคคล แต่ละคณะ แต่ละสำนักกันไป ไม่ถือว่าท่านผิดเราถูก ขอเพียงสวดแล้ว เกิดมรรคเกิดผล เกิดกุศล เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ไม่นำพาโทษทุกข์เบียดเบียนตนเอง และคนอื่นให้เดือดร้อน เกิดบาป เกิดกรรม ก็นับว่าเป็นเรื่องควรแก่การอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง ส่วนการที่จะสวด หรือไม่สวด จะสวดยาว หรือจะสวดสั้นหรือจะสวดเวลาไหน บทไหนนั้น ไม่ถือว่าเป็นภาควิชาบังคับขึ้นอยู่ที่สติปัญญา ความถูกจริต และศรัทธาของแต่ละใจ

สรุปความแล้ว การสวดมนต์นั้นมีจิตเจตจำนงวัตถุประสงค์ ท่าที และเป้าหมาย เพื่อให้ได้ เพื่อให้สำเร็จในคุณประโยชน์ ดังต่อไปนี้. –
๑. เพื่อเป็นการสรรเสริญคุณ
๒. เพื่อเป็นต้นทุนเจริญศรัทธา
๓. เพื่อเป็นการแผ่จิตเมตตา
๔. เพื่อเป็นการฝึกสมาธิ
๕. เพื่อเป็นการอบรมขันติให้แกร่งกล้า
๖. เพื่อเป็นการรักษาพระธรรม
๗. เพื่อเป็นการกำจัดบาปอกุศล
๘. เพื่อความเป็นมงคลแก่ชีวิต
๙. เพื่อเป็นการทำจิตให้สว่างไสวเกิดปัญญา
๑๐. เพื่อเป็นการช่วยรักษาโรคภัย
๑๑. เพื่อเป็นเหตุให้ได้สมบัติบุญ

๑. เพื่อเป็นการสรรเสริญคุณ
บทสวดบางบทที่ใช้สวดนั้น เช่น บทอิติปิ โส ฯลฯ ภควาติฯชาวพุทธในสมัยพุทธกาล ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้านิยมใช้สวดเพื่อสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้ากัน ส่วนที่ท่านแต่งขึ้น
ใหม่ในยุคหลังก็มี นิยมนำเอามาเพื่อสวดสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอรหันต์สงฆ์สาวก ผู้ประกอบแล้วด้วยพระคุณอันประเสริฐสูงสุด ไม่ใช่เป็นบทอ้อนวอนร้องขอ

ในการไหว้พระสวดมนต์แต่ละครั้งนั้น ท่านเปรียบเหมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเฉพาะพระพักตร์เป็นการแสดงตน ปฏิญาณตนยอมรับนับถือ เคารพ ศรัทธา บูชา ขอขมาต่อพระองค์อย่างหมดจิตหมดใจอย่างแท้จริง.

๒. เพื่อเป็นต้นทุนเจริญศรัทธาการสวดมนต์นั้น สวดเพื่อเพิ่มพูน พอกพูน เติมเต็มพลังแห่งศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใสที่มีต่อคุณพระรัตนตรัย ที่ตนได้ยอมรับนับถือ เคารพบูชาเป็นว่าสรณะด้วยศรัทธา ด้วยจิตเจตนาที่บริสุทธิ์ ด้วยความเคารพยำเกรงยึดเป็นหลักใจให้มั่นคงมากยิ่งๆ ขึ้นไปศรัทธาเมื่อตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จได้.

๓. เพื่อเป็นการแผ่จิตเมตตา
การสวดมนต์ในแต่ละครั้งนั้น ถือว่าเป็นการแผ่พลังเมตตาจิต ผ่านบทสวดมนต์ในแต่ละบท ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีความขลัง มีฤทธิ์ มีเดช มีอำนาจ มีความบริสุทธิ์
อยู่ในตัว โดยอาศัยบทสวดแต่ละบทนั้นเป็นเสมือนตัวเชื่อมต่อเป็นเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ เป็นสื่อ ส่งสัญญาณ แปรสภาพให้เป็นพลังงานพิเศษ เหมือนพลังงานทั่วไป ผ่านกระแสเสียง
กระแสจิต จากจิตสู่จิต ก่อให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศล เป็นความรักความปรารถนาดี ความเมตตาปรานี ความสุข ความปลอดภัยส่งให้ มอบให้ อุทิศให้ แผ่ให้ ให้แด่เหล่าเทวดา มนุษย์ อมนุษย์สรรพสัตว์ สรรพวิญญาณทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิทั่วโลกทั่วจักรวาล ตลอดถึงท่านผู้มีพระคุณ เพื่อนฝูงมิตรสหายครอบครัววงศ์ตระกูล เพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ เพื่อนร่วมโลก
ร่วมแผ่นดินทั้งมิตรและศัตรู ไม่เลือกชนชั้นวรรณะภาษา ขอให้อยู่ดีมีสุข ปลอดภัย มีโชค มีชัย สงบร่มเย็น พ้นทุกข์ พ้นโศกพ้นโรค พ้นภัย ให้ได้ทั่วถึง ทั่วหน้า อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อย่างไม่มีประมาณ สำเร็จได้อย่างฉับพลันทันที.

๔. เพื่อเป็นการฝึกสมาธิ
การทำสมาธินั้นมีหลายรูปแบบ หลายวิธี การสวดมนต์ก็เป็นการทำสมาธิอีกวิธีหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้สวดเกิดความสงบได้เพราะขณะที่สวดนั้น ผู้สวดต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ มีสติดี
สามารถน้อมนึกบทสวดที่จดจำไว้ นำมาสวดได้ไม่ให้ผิด ขณะสวดจิตย่อมจดจ่อในบทสวด หรือที่จำไม่ได้ ก็ใช้สายตาเพ่งมองตัวหนังสืออ่านบทสวดไปแต่ละอักขระ แต่ละวรรค แต่ละบทแต่ละตอน จิตในขณะนั้นย่อมรวมตัว ดับความฟุ้งซ่านลง เกิดเป็นสมาธิได้เป็นอย่างดี.

๕. เพื่อเป็นการอบรมขันติให้แกร่งกล้า
การนั่งพนมมือก็ดี การนั่งคุกเข่า นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบก็ดี เวลาที่ใช้ในการสวดก็ดี ต้องใช้เวลานานพอสมควรผู้สวดนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความอดทนอดกลั้นสูงทีเดียว จึงจะ
สามารถข่มทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะสวดไปจนจบได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดา การฝืนกาย ฝืนใจ บังคับกาย บังคับใจในขณะนั้นย่อมทำให้ขันติธรรม คือ ความอดทนแกร่งกล้า
เจริญขึ้น เกิดขึ้น ความอดทนถือว่าเป็นหลักธรรมที่สำคัญมากในพระพุทธศาสนา

ผู้ที่ไม่มีความอดทน ย่อมไม่ประสบความสุข ความสำเร็จในชีวิตได้ ความอดทนเป็นเครื่องมือเผาผลาญกิเลสบาปอกุศลให้หมดไปได้

คุณธรรม คือ ความอดทนจะเกิดขึ้น จะมีขึ้นกลายเป็นสมบัติใจได้นั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนอบรมบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องเป็นนิตย์ ส่วนการสวดที่ใช้เวลาน้อย หรือสวดพอเป็นพิธี
สวดเพื่อความพร้อมเพรียง สวดเพราะกฎระเบียบที่ตั้งไว้ ก็จะเกิดผลดีในด้านอื่นไป แต่ในส่วนขันติธรรมก็จะเกิดขึ้นมากน้อยนั้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย.

๖. เพื่อเป็นการรักษาพระธรรมบทสวดมนต์บางบท เป็นพระพุทธพจน์ที่สำคัญ เช่น บทพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นต้น เป็นหลักธรรมสำคัญ ที่จะต้องจดจำให้ได้ เพื่อรักษาไว้

โดยปกติแล้ว บทสวดมนต์แต่ละบท ที่จะนำมาสวดนั้นผู้สวดจะต้องท่องจำให้ได้ขึ้นใจ แล้วนำมาสวดสาธยาย เพื่อเป็นการทบทวนอยู่เป็นประจำ เพื่อกันลืม กันหลง กันเสื่อม
การสวดทั้งที่จำได้แล้วสวดก็ดี และการอ่านหนังสือสวดก็ดีก็ชื่อว่า เป็นการรักษาพระธรรมคำสั่งสอนไว้ไม่ให้สูญหายลบเลือน เลือนลาง จางหาย สาบสูญได้เป็นอย่างดีเช่นกัน.

๗. เพื่อเป็นการกำจัดบาปอกุศลในการสวดมนต์แต่ละครั้งนั้น ย่อมเป็นการช่วยกำจัดข่มซึ่งนิวรณ์ธรรม มีกามฉันทะ ความติดในสุข พยาบาทความหงุดหงิดไม่พอใจ อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ ถีนมิทธะ ความง่วงซึม หดหู่ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย และกำจัดอกุศลธรรมต่างๆ มีความโลภ ความโกรธความหลง ความเห็นผิด ความถือตัวถือตน ความเกียจคร้านให้เบาบางจางหายหมดไปได้.

๘. เพื่อความเป็นมงคลแก่ชีวิตมงคล แปลว่า สิ่งที่ดีงาม การสวดมนต์จัดเป็นทั้งบุญกิริยา และไตรสิกขา ขณะสวดมีกายวาจาเรียบร้อย มีความระมัดระวังสำรวมดี เรียกว่า ศีล ขณะสวดมีจิตเป็นสมาธิตั้งมั่นตั้งใจสวด สวดด้วยความสงบ เรียกว่า สมาธิ ขณะสวดจิตน้อมนึกพิจารณาไปตาม เห็นสัจธรรมความจริงของชีวิต เรียกว่าปัญญา ขณะสวดเป็นการเจริญเมตตาภาวนา จิตเบิกบานเลิกจองเวรจองกรรม ก็จัดเป็น ทาน ขณะสวดมีความเพียรมีความอดทน มีสัจจะ มีความตั้งใจ จิตห่างออกจากกามจิตเป็นกลาง ก็จัดเป็น บารมี

เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลหนึ่ง บุคคลใดได้ลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นปกตินิสัย จนเกิดเป็นอุปนิสัยแล้ว ย่อมก่อให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศล เป็นมงคลแก่ชีวิต เกิดพลัง นำซึ่งความสุข ความเจริญมาสู่ตนเอง และครอบครัววงศ์ตระกูลเพื่อนฝูงมิตรสหาย หน้าที่การงานได้อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย.

๙. เพื่อเป็นการทำจิตให้สว่างไสวเกิดปัญญาชีวิตคนเรานั้นประกอบด้วยกาย และจิต กายเป็นส่วนแห่งรูปธรรม จับต้องได้ มองเห็นได้ ส่วนจิตใจนั้นจัดเป็นนามธรรม มีความเป็นใหญ่ เป็นนายในชีวิตคนเรา จิตที่เศร้าหมองจิตที่มีแต่ความวิตกกังวล จิตที่คิดมาก จิตที่พยาบาทโหดร้ายจิตที่อิจฉาริษยา คือ สภาพของจิตที่ไม่ดี เป็นจิตที่อ่อนแอ ชอบรับเอาแต่เรื่องไม่ดีมาเก็บไว้ ชอบคิดแต่เรื่องร้ายๆ มองโลกในแง่ร้าย จดจำแต่เรื่องทุกข์ เป็นเหตุทำให้จิตไม่สะอาดไม่บริสุทธิ์มีสภาพมืดมน พร่ามัว ขุ่นมัว ขาดพลัง เป็นจิตเถื่อน จิตหยาบยากที่จะมีความสุขได้ เป็นจิตที่ทุกข์ง่าย สุขยาก อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ได้อะไรมาก็ไม่มีความสุข

การสวดมนต์ เป็นวิธีที่จะช่วยชำระชะล้าง ทำความสะอาด ความสกปรกรกใจที่ตกตะกอนนอนเนื่องแปดเปื้อนอยู่ในจิตใจ ให้เป็นจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ สว่างไสวได้ กลายเป็น
จิตที่สุขง่าย ทุกข์ยาก อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ มีความสุขทุกเวลาส่วนจิตใจที่สะอาดดีแล้ว บริสุทธิ์แล้ว เมื่อสวดมนต์ ก็ยิ่งจะช่วยให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นไปอีก จิตที่มีสภาพ
ที่บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบ คือ จิตที่สว่างไสว เป็นจิตที่มีพลังมีปัญญา ย่อมนำพาพัฒนาชีวิตตนเอง และบุคคลอื่นให้มีความสุข
ความเจริญได้.

๑๐. เพื่อเป็นการช่วยรักษาโรคภัยผลแห่งการวิจัย ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ดี ทางการแพทย์ก็ดี ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ กับผู้ที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลก็มีต่างสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่า การสวดมนต์นั้นสามารถช่วยบำบัด ช่วยรักษา ช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ ยิ่งโรคที่เกี่ยวเนื่องด้วยกับสภาพจิตใจยิ่งได้ผลดีมาก แม้กระทั่งอุปสรรค เคราะห์กรรม ปัญหาชีวิตก็ช่วยให้ผ่านพ้นได้ด้วยดี

มีข้อควรสังเกตว่า คนที่ชอบสวดมนต์อยู่เป็นประจำนั้นเวลามีทุกข์ ประสบปัญหาชีวิต มักจะมีทุกข์ มีปัญหาอยู่ไม่นานนัก ทุกข์และปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะจบลงคลี่คลายลง มีทางแก้ไข ทางออกได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากคนที่ไม่ชอบสวดมนต์ทุกข์ก็จะทุกข์อยู่นานหาทางออกไม่ได้.

๑๑. เพื่อเป็นเหตุให้ได้สมบัติบุญสมบัติที่กล่าวนี้ ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สมบัติ คือ แก้วแหวน เงิน ทอง เรือกสวน ไร่นา รถรา บ้านเรือนแต่อย่างใดไม่แต่หมายถึง อริยทรัพย์ อริยสมบัติ มีมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ อันเป็นเป้าหมายของทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาจะต้องขวนขวายแสวงหา สร้างบำเพ็ญให้เกิดมีขึ้นในชีวิตของตนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่ และยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ชีวิตที่เกิดมา หรือจะไปเกิดทุกภพ ทุกภูมิทุกชาติ ควรให้ได้แต่สิ่งที่ดีๆ พบแต่สิ่งที่ดีๆ อยู่แต่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ สภาพความเป็นอยู่ที่ดี เหมือนเลือกเกิดได้จะได้ไม่พลาดตกไปอยู่ในภพภูมิที่ไม่ดี สภาพไม่ดี สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานคนทุกข์ คนยาก ลำบากพิการ อัตคัด ขัดสน ยากจน เข็ญใจไร้ที่พึ่งพาพึ่งพิง

การสวดมนต์ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นช่องทางนำพาเราให้ได้มาซึ่งสมบัติทั้ง ๓ อย่างแน่นอนส่วนสมบัติ คือ แก้ว แหวน เงินทองนั้น ล้วนแต่เป็นของแถมที่อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่ควรตั้งความปรารถนาให้เกิดขึ้นจากการสวดมนต์ เพราะจะเป็นการสวดที่ผิดหลักบุญ หลักกุศล หลักธรรม หลักกรรม

ข้อสำคัญที่สุด ก็คือ ในขณะสวดก็ดี สวดแล้วก็ดี ควรตั้งอกตั้งใจ ทำด้วยความเชื่อ ความจริงใจ เต็มใจ พอใจ สุขใจดีใจ ภูมิใจ สวดให้เกิดความสงบ ความสุข เกิดเป็นบุญเป็น
กุศล เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญาตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวแล้วข้างต้นก็พอ เรื่องอื่นๆนั้น ย่อมจะเกิดขึ้น มีขึ้น เกิดดอกออกผลตามมา ขอเพียงทำเหตุปัจจัยให้ดี ให้ถูกต้อง ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้มีบุญ ผู้มีปัญญา ย่อมประสบแต่ความโชคดี และหาทรัพย์มาได้โดยง่ายแล.

ที่มา: วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร 4.1.2015 

 


Similar Posts