กมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ทีพีบีไอ หรือ TPBI
‘บมจ.ทีพีบีไอ’ หรือ TPBI ประกาศผลงานปี 2561 ทำรายได้ 5,011.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.75% หลังกลุ่มผลิตภัณฑ์ถุงขยะ (Garbage bags and fruit & vegetable bags) และ กลุ่ม Reusable Bag เติบโตโดดเด่น จากคำสั่งซื้อของตลาดต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไตรมาส 4/61 มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการลงทุนขยายบรรจุภัณฑ์กระดาษในกลุ่ม Intelipac Australia PTY Limited (ITPA) ประเทศอังกฤษกดดันส่งผลให้ผลประกอบการขาดทุน พร้อมระบุแนวทางการดำเนินงานมุ่งปรับเปลี่ยนพอร์ตสินค้าเพื่อตอบสนองเทรนด์อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โลกอย่างต่อเนื่อง หวังเพิ่มความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน
นายกมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ทีพีบีไอ หรือ TPBI ผู้นำอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครบวงจรระดับโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,011.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.75% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 4,783.90 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากคำสั่งซื้อในผลิตภัณฑ์ถุงขยะ (Garbage bags) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับกลุ่ม Flexible packaging ที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ช่วยสนับสนุนกำลังการผลิตและการขายเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ถุงพลาสติกประเภท Reusable ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มทรานฟอร์เมชั่นที่มาทดแทนการลดลงของคำสั่งซื้อถุงพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งตามนโยบายของตลาดต่างประเทศ ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เป็นไปตามแผนที่บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนของสินค้าที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 บริษัทฯ มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดียวกันของปีก่อน โดยมีค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร ที่ 444.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43.36 % เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการเข้าลงทุนในกลุ่มบริษัท Intelipac ที่ประเทศอังกฤษและประเทศออสเตรเลีย ประกอบกับการปรับปรุงกำลังการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ General Packaging และขยายกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ flexible packaging รวมถึงบริษัทฯ ยังได้รับผลกระทบจากค่าเงินจ๊าด ของประเทศเมียนมาร์อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อด้วยเงินดอลล่าร์ของบริษัทย่อยในประเทศเมียนมาร์ (ทีพีบีไอเอ็มเอส) ได้รับผลกระทบจากต้นทุนสูงขึ้น เป็นผลให้โดยรวม บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงและเป็นแรงกดดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2561 ขาดทุน 164.30 ล้านบาท ลดลงจากกำไรปี 2560 ที่ทำได้ 192.91 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ185.17
“เราค่อนข้างพอใจที่สามารถผลักดันให้กลุ่มสินค้า Reusable, ถุงขยะ, Multilayer Blown film, และ Flexible Packaging เติบโตได้ จะเห็นได้ว่าสินค้ากลุ่มนี้มีออเดอร์เข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการดำเนินงานของเราที่มุ่งแผนยุทธศาสตร์ทรานฟอร์เมชั่นธุรกิจ ด้วยการปรับเปลี่ยนพอร์ตสินค้ามุ่งสร้างการเติบโตในระยะยาวมาถูกทาง ส่วนต้นทุนที่เกิดขึ้นในปี 2561 หลายส่วนเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีถัดไป โดยแผนระยะยาวเราจะยังคงเน้นการเพิ่มสัดส่วนการขายและการผลิตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความยั่งยืน รวมถึงเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่ม General Packaging เพื่อตอบรับเทรนด์อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกในตลาดโลก เพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทฯ กลับมาเป็นกำไรอย่างยั่งยืนต่อไป” นายกมล กล่าว