|

ยาฉีดคุมกำเนิดคืออะไร ประโยชน์และชนิด คำแนะนำและข้อควรระวัง


ยาฉีดคุมกำเนิด เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมมากวิธีหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจาก ไม่ต้องกินยาหรือปฏิบัติตัวอย่างใดเหมือนวิธีการคุมกำเนิดแบบวิธีอื่น และเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินยาหรือมักลืมกินยายาฉีดคุมกำเนิดนี้จะประกอบด้วยตัวยาที่เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ของโปรเจสเตอโรนในเพศหญิง

ชนิดยาฉีดคุมกำเนิด
1. ชนิดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน แบ่งย่อยเป็น 2 ชนิด คือ
• DMPA หรือมีชื่อเต็มว่า ดีโปเมดรอกซี่โปรเจสเตอโรนอะซีเตท (Depo medroxy progesterone acetate) เป็นโปรเจสเตอโรนในอนุพันธุ์ของไฮดรอกซี่โปรเจสเตอโรน (17 hydroxy progesterone) ที่ผลิตออกมาในรูปของผลึกเล็กๆ บรรจุในขวดปริมาตร 3 ซีซี ขนาด 150 มิลลิกรัม

ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดดีโปเมดรอกซี่โปรเจสเตอโรนอะซีเตท (DMPA) มีการผลิตออกมาใช้ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1954 และในช่วงนั้นเป็นที่นิยมกันมาก และยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง และมีผลข้างเคียงน้อย โดยในประเทศไทยจะใช้ตัวยาโปรเจสโตเจน ชื่อ medoxyprogesterol acetate ขนาด 150 มิลลิกรัม ฉีดเข้าบริเวณสะโพกหรือต้นแขน มีอายุการคุมกำเนิดประมาณ 3 เดือน

• นอร์ซิลเตอโรนอีแนนเธต (Norethisterone Enanthate) มีชื่อทางการค้าว่า เนท-เอน (NET-EN) เป็นโปรเจสเตอโรนในกลุ่มของนอร์เทสโตสเตอโรน (18-Norethisterone) ที่ผลิตออกมาในรูปน้ำมันปริมาตร 1 ซีซี ขนาด 200 มิลลิกรัม ใช้ฉีดทุก 60 วัน หรือฉีดทุก 60 วัน 4 ครั้ง แล้วฉีดอีกทุก 84 วัน

2. ชนิดฮอร์โมนรวม เป็นยาฉีดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนของเอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรน

กลไกการคุมกำเนิด
เมื่อตัวยาหรือฮอร์โมนฤูกฉีดเข้าสู่ร่างกาย ฮอร์โมนจะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้าๆ และจะออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ออกฤทธิ์ทำให้ปากมดลูกเหนียว และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางจนไม่เหมาะกับการฝังตัว และเจริญของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว
• การระงับการตกไข่
ยาฉีดคุมกำเนิดเป็นยาคุมกำเนิดที่มีฤทธิ์สูงกว่าโปรเจสเตอโรนตามธรรมชาติมาก ออกฤทธิ์ป้องกันการตกไข่ได้ดี โดยยาฉีดชนิด DMPA ออกฤทธิ์ป้องกันการตกไข่ได้สม่ำเสมอ และดีกว่าชนิด NET-EN โดยเฉพาะในช่วงแรกของการใช้

• การเปลี่ยนแปลงมูกปากมดลูก
ยาฉีดคุมกำเนิดมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเมือกบริเวณปากมดลูก โดยทำให้เมือกบริเวณนี้มีความเหนียวข้น ส่งผลทำให้การเคลื่อนที่ของเชื้ออสุจิที่ผ่านเข้าไปในโพรงมดลูกได้ยากขึ้น โดยยาฉีดชนิด DMPA จะออกฤทธิ์เปลี่ยนแปลงเมือกบริเวณปากมดลูกได้ดีน้อยกว่าชนิด NET-EN โดยเฉพาะในช่วงแรกของการใช้

• การเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก
หลังจากการฉีดยาคุมกำเนิดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูก โดยเยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อ หรือ เยื่อบุมดลูกไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว ทั้งนี้ การเปลี่ยยนแปลงดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กับชนิดของตัวยา ปริมาณยา และระยะเวลาที่ฉีด โดยยาฉีดชนิด DMPA จะออกฤทธิ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าชนิด NET-EN

• การเปลี่ยนแปลงของหลอดมดลูก
หลังจากการฉีดยาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดมดลูก ส่งผลต่อความสามารถในการเดินทางของเชื้ออสุจิ และการเคลื่อนที่ของไข่ไม่เป็นปกติ ทำให้ไข่ และอสุจิไม่ได้รับการผสมกัน

วิธีการใช้
ยาฉีดเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน โดยขนาดที่ใช้ 1 ขวด 3 มล. มียาอยู่ 150 มก. ให้เริ่มฉีดเข็มแรกภายใน 5 วันแรก ของรอบเดือน หรือ ภายใน 1 สัปดาห์หลังแท้ง หรือ ทันทีหรือภายใน 4 สัปดาห์ หลังคลอด

การฉีดจะฉีดเข้าบริเวณสะโพกหรือต้นแขน รอบในการฉีดทุกๆ 84 วัน (12 สัปดาห์) ไม่ควรฉีดในทุก 90 วัน เพราะหากนับระยะฉีดที่ 90 วันอาจทำให้เพิ่มการตั้งครรภ์มากขึ้น เนื่องด้วยในระยะใกล้ครบอายุการฉีด ฤทธิ์ยาอาจหมดไปก่อนหน้านั้นแล้ว

หลังจากการฉีดยาจะพบอาการผิดปกติเกิดขึ้น อาทิ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมาน้อย ประจำเดือนมากะปริบกระปรอยจากฤทธิ์ของฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ไม่ตก หรือ เกิดภาวะที่เรียกว่า การหมันชั่วคราว

ข้อดียาฉีดคุมกำเนิด
– ผู้ฉีดไม่ต้องปฏิบัติตนเหมือนการคุมกำเนิดแบบอื่น เพียงฉีดครั้งเดียว สามารถคุมกำเนิดได้ 3 เดือน
– มีประสิทธิภาพการคุมกำเนิดสูงกว่าร้อยละ 98 และสูงกว่าวิธีการคุมกำเนิดบางวิธี เช่น การับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

ข้อเสียยาฉีดคุมกำเนิด
– หลังการฉีด ประจำเดือนมักมาผิดปกติ ประจำเดือนขาด หรือ มากะปริบกระปรอย
– มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของความดันเลือด น้ำหนักตัว อารมณ์ และความสึกทางเพศ รวมถึงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
– มีค่าใช้จ่ายแพงกว่าวิธีการคุมกำเนิดแบอื่น เช่น การกินยาเม็ดคุมกำเนิด
– ต้องมารับการฉีดให้ตรงเวลานัดในครั้งต่อไป

ผลข้างเคียง
– มีการเปลี่ยนแปลงของประจำเดือน ประจำเดือนมาน้อย มามากะปริบกระปรอย
– น้ำหนักตัวอาจลดลงหรือเพิ่มขึ้น
– มีอาการเจ็บ และคัดตึงเต้านม
– อาจมีอาการปวดบริเวณตำแหน่งฉีดยา แต่ก็จะหายเองภายในวันสองวัน
– บางรายอาจมีอาการปวดหลัง

ข้อแนะนำ และข้อควรระวัง
– วิธีคุมกำเนิดแบบฉีดฮอร์โมนเหมาะสำหรับผู้ที่มีบุตรมาแล้ว และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด หรือ ผู้ที่เกิดผลข้างเคียงจากการคุมกำเนิดแบบอื่น
– ห้ามฉีดในปริมาณที่ใกล้เคียงกับปริมาณยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน
– หากการหยุดฉีดเพื่อต้องการมีบุตร ต้องวางแผนล่วงหน้า 6-12 เดือน เพราะมีระยะเวลาของฤทธิ์ยาประมาณ 3 เดือน และหลังหยุดฉีด ร่างกายต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลฮอร์โมน
– การฉีดจะต้องได้รับการปฏิบัติจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยเข้ารับบริการได้ตามสถานพยาบาลของรัฐ เอกชน หรือ คลีนิก

ยาฉีดคุมกำเนิด (Injectable Contraceptive)


Similar Posts